วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

โรคไข้เลือดออก

สาเหตุ
ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส เดงกี่ โดยมียุงลายเป็นตัวนำ ยุงลายมีขนาดเล็ก สีดำ มีลายขาวที่ขา ท้องและลำตัว ชอบอยู่ตามมุมมืดของบ้านจะออกมากัดกินเลือดคนในเวลากลางวัน ชอบวางไข่ในน้ำสะอาด ไข่ยุงลายอยู่ในที่แห้งได้นานหลายเดือน เมื่อไข่แช่น้ำจะออกเป็นลูกน้ำ ใช้เวลา 7-10 วัน ก็จะเป็นตัวยุง เมื่อยุงลายกัดและดูดเลือดที่มีเชื้อโรคนี้ให้กับผู้ที่ถูกกัดเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่พบมากในเด็กอายุ 5-9 ปี
อาการ
ผู้ป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัด ไข้จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 วัน ต่อมาไข้จะลดลงผู้ป่วยมีอาการเบื่ออาหาร อาเจียน หน้าแดง สำหรับรายที่เป็นมากจะมีอาการซึม กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย มือเท้าเย็น แน่นหน้าอก ปวดท้อง ส่วนมากจะมีเลือดออก ใต้ผิวหนัง ซึ่งมองเห็นเป็นจุดเล็กๆ ขนาดเท่ายุงกัดหรือจ้ำสีแดงตามแขนขา และตามตัวทั่วไป บางรายอาจมีเลือดกำเดาไหล อาเจียนหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยหมดสติ และถึงตายได้
เมื่อใดควรพบแพทย์
ถ้าเด็กมีอาการสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก อย่าให้ยาลดไข้ที่มีแอสไพรินผสมอยู่ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเด็ก ให้นำเด็กที่ป่วยไปปรึกษาแพทย์ หรือส่งโรงพยาบาล ไม่ควรรักษาเองโดยเด็ดขาด อาจจะทำให้เด็กเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

Report เทศกาลหนังสือเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 6


อันว่าเมืองไทยของเรานี้มีงานหนังสือมากมายในหนึ่งปี เหตุผลหนึ่งคงเพราะต้องการเพิ่มอัตราการอ่านหนังสือของคนไทยโดยเฉลี่ยให้เกินปีละ 6 บรรทัด (ตามคำบอกเล่าของผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักตักศิลาที่ไหนก็ม่ายรุ) กระมังครับ ดังนั้น ในทุกๆ ปี นอกจากจะมีงานขายหนังสือสเกลใหญ่ๆ อย่างงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ งานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ และงานเทศกาลหนังสือนานาชาติ (มักจะรวมเป็นส่วนหนึ่งของงานใหญ่สองงานข้างหน้า) แล้ว ในเดือน ก.ค. ก็ยังจะมีงานเทศกาลหนังสือเด็กและเยาวชนอีก ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็จัดต่อเนื่องมาจนเป็นครั้งที่ 6 แล้ว
งานหนังสือเด็กในปีนี้ก็ยังคงจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เช่นเดิม theme งานครั้งนี้คือ "สวนสุข สนุกอ่าน" ดังจะเห็นได้จากการตกแต่งบรรยากาศงานโดยรวมที่ทำออกมาให้ดูมีลักษณะเหมือนสวนสนุกและงานวัด (คล้ายกับงานเปิดโลกกิจกรรมของจุฬาฯ ในปีนี้เลยครับ) แถมยังมีงานวัดขนาดจำลองมาให้ได้เที่ยวชมกันจริงๆ ด้วยนะครับ อยู่ที่โซน C ชั้นล่าง ด้านหลังๆ (เดี๋ยวมาดูรูปกันนะครับ) ส่วนระยะเวลาที่จัดงานก็ 5 วันครับ ตั้งแต่ 16 - 20 ก.ค. 2551

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เทคนิคก่อนสอบ

ก่อนการสอบ
ทบทวน ท่อง ทฤษฎีบทหรือนิยาม ของบทเรียนที่จะมีการสอบ ให้ได้อย่างขึ้นใจ ชนิดที่ว่าแม้พิสูจน์โจทย์ข้อสอบนั้นไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถแสดงความสัมพันธ์ของโจทย์กับทฤษฎีบทหรือนิยามนั้นๆ ให้อาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบอ่านได้อย่างถูกต้อง รับรองว่าต้องได้คะแนนข้อนั้นอย่างแน่นอน จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับลายมือผู้สอบจะเขียนได้สวยแค่ไหน
2. ทบทวนแบบฝึกหัดทุกข้อ ที่อาจารย์ผู้สอนชอบย้ำนักหนาในห้องว่า "ข้อสอบก็ออกในแนวนี้ละ" หรืออาจารย์บางท่านก็พูดย้ำตรงๆ เลยว่า "ข้อนี้ออก............นะ" ดังนั้นเวลาเรียนถ้าเจออาจารย์พูดแบบนี้ ก็อย่าลืมเอาปากกาแดงทำ * กาไว้ที่แบบฝึกหัดข้อนั้นให้ใหญ่ๆ เลยทีเดียว รับรองไม่พลาด ถ้าข้อไหนทวนหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ให้ฝึกเขียนหลายๆครั้ง จนจำขึ้นใจ
3. เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนที่จะใช้ในการสอบให้พร้อม เข้านอนแต่หัวค่ำทำใจให้ผ่องใส อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิทำใจนิ่งๆว่างๆก่อนนอนสัก 5 นาที จะทำให้ใจสงบและหลับอย่างเป็นสุข พร้อมจะเผชิญอุปสรรค ของวันใหม่
4. ตื่นนอนตี 5 ของวันใหม่ ล้างหน้าล้างตาให้สดใส ทบทวนเนื้อหาทั้งหมด ตลอดจนทฤษฎีบท แบบฝึกหัด (ที่ทบทวนไปเมื่อวาน) โดยอ่านแบบผ่านๆ สายตา ความเงียบสงบของเช้าตรู่จะช่วยให้จำได้ดี
5. ถึงหน้าห้องสอบก่อนเวลา สัก 10 นาที ตรวจเลขที่นั่งสอบของตนเองให้เรียบร้อย และไม่ต้องสนใจที่จะถกปัญหาเรื่องโจทย์กับใคร ตลอดจนไม่อ่านหนังสือ หรือทบทวนอะไรในหัวสมองอีก ทำใจให้เบิกบานว่างๆ ไม่สนใจคนรอบข้าง
6. เมื่อผู้คุมสอบเรียกเข้าห้อง เข้านั่งประจำโต๊ะ วางอุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องเขียนในทิศทางที่หยิบใช้ได้ง่าย นั่งตัวตรงทำใจว่างๆ เตือนสติตนเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่พยายาม "ทุจริต" ด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนั้นเท่ากับเราหมดภูมิและพยายามฆ่าตัวตายชัดๆ
7. รอกรรมการแจกข้อสอบ หรือถ้าข้อสอบวางคว่ำอยู่บนโต๊ะแล้ว ให้รอคำสั่งเปิดข้อสอบ เมื่อเวลาสัญญานเริ่มทำการสอบดังขึ้น

ขณะทำการสอบ
1. เปิดข้อสอบเมื่อได้รับคำสั่ง ตรวจสอบเวลาทำการสอบรวมกี่ชั่วโมงที่หัวข้อสอบให้แน่ชัด เสร็จแล้วเขียนชื่อ/นามสกุล ชั้น/ห้อง เลขที่ประจำตัว เลขที่สอบให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันให้ฟังกรรมการผู้คุมสอบไปด้วยว่า มีคำสั่งแก้ไขข้อสอบหรือไม่ ถ้ามีให้พลิกข้อสอบ ไปทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงกลับมาเขียนข้อมูลส่วนตัวบนหัวกระดาษคำตอบให้เรียบร้อย
2. พลิกดูข้อสอบทั้งหมดมีกี่ข้อ เป็นปรนัยกี่ข้อ อัตนัยกี่ข้อ คำนวณเวลาที่มี โดยปกติข้อสอบอัตนัย 1 ข้อ จะใช้เวลามากกว่าปรนัยประมาณ 3 เท่า ว่าควรจะใช้เวลาคิดได้ข้อละกี่นาที และเหลือเวลาไว้ตรวจสอบคำตอบทั้งหมดในตอนท้ายประมาณ 10 นาที เพราะผู้ออกข้อสอบจะคำนึงถึงเวลาที่ให้กับความยากง่ายของข้อสอบเสมอ
3. เมื่อได้เวลาเฉลี่ยต่อข้อในการทำข้อสอบแล้ว พลิกข้อสอบดูคร่าวๆ ตั้งแต่ข้อ 1 ไปถึงข้อสุดท้ายอีกครั้ง เพื่อดูว่าข้อสอบข้อใดบ้างง่ายสำหรับเรา ให้ลงมือทำเลยโดยไล่จากข้อสอบแบบปรนัยไปแบบอัตนัย
4. อ่านคำสั่งให้เข้าใจว่าแต่ละส่วนของข้อสอบเขาให้เราตอบอย่างไร ให้วงกลม กากะบาด หรือเติมคำตอบสั้นๆ จับคู่ หรือแสดงวิธีทำ มีผู้เข้าสอบเป็นจำนวนมากต้องเสียใจกับความผิดพลาด เพราะละเลย ไม่อ่านคำสั่งให้ดี เกี่ยวกับการแสดงคำตอบที่ถูกต้องมามากต่อมากแล้ว
5. เริ่มทำข้อสอบที่ยากจากข้อแรกไปตามลำดับ อย่าลืม "การวิเคราะห์โจทย์อย่างมีประสิทธิภาพ" จะช่วยให้วางแผนในการคิดหาคำตอบในแต่ละข้อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
6. ข้อไหนคิดจนหมดเวลาเฉลี่ยแล้วให้ผ่านไปก่อน คิดข้ออื่นต่อไป ถ้ามีเวลาเหลือแล้วค่อยกลับมาทำใหม่ แต่อย่าลืมจะต้องคงเวลาประมาณ 10 นาทีไว้ตอนท้ายสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของการทำข้อสอบเสมอ
7. อย่าเขียนสูตร ทฤษฎีบท นิยาม หรือวิธีคิดใดๆ ไว้บนมือขณะอยู่ในห้องสอบ เพราะจะทำให้เกิดปัญหากับกรรมการคุมสอบได้ง่ายที่สุด ถ้าจำเป็นควรเขียนบนกระดาษทดที่กรรมการคุมสอบแจกมา
8. สำหรับข้อสอบแบบอัตนัย ให้เขียนวิธีทำด้วยลายมือที่อ่านง่าย ชัดเจน ได้รูปแบบของการทำโจทย์คณิตศาสตร์ ในชั้นเรียน (ไม่ใช้รูปแบบจากการเรียนพิเศษ ซึ่งนั่นควรเขียนเก็บไว้เพื่อความเข้าใจของตนเองเท่านั้น) เพราะคำตอบที่อ่านง่ายตั้งใจเขียน แม้จะตกหล่น ขาดเกินไปบ้าง ก็ชนะใจผู้ตรวจข้อสอบในเรื่องการให้คะแนนมามากต่อมากแล้ว
9. ใช้เวลาช่วง 10 นาทีสุดท้าย ตรวจสอบคำตอบที่เราทำมาทั้งหมด ดูว่าเราทำตกหล่น เผลอเลอ ลืมอะไรตรงไหนอีกหรือไม่ มีผู้สอบที่พลาดการได้คะแนน เพราะความเผลอเลอ ลืม ไม่รอบครอบ ทำให้เสียคะแนน อดได้คะแนน หรือไม่ได้รับการคัดเลือก หรือแพ้เขาเพียง 1 คะแนน มามากต่อมากแล้ว (ใช้เวลาในการคิดจนหมดไม่มีเวลาทบทวน) แต่อย่าทบทวนในลักษณะคิดวกไป วนมา แก้ไขหลายครั้งแบบสับสนจนทำให้ข้อถูก กลายเป็นข้อผิด เพราะขาดความมั่นใจในตัวเอง ฉะนั้นทุกข้อที่ทำไปแล้วให้ทบทวนเพียงครั้งเดียว
10. ส่งกระดาษคำตอบให้กรรมการผู้คุมสอบเมื่อตรวจทานเสร็จหรือได้ยินสัญญานหมดเวลาสอบ ขณะส่งกระดาษให้เหลือบดูที่หัวกระดาษคำตอบสักนิดว่าเขียน ชื่อ/นามสกุล เลขที่สอบหรือเลขประจำตัว เรียบร้อยแล้วหรือไม่ เพราะยังแก้ไขได้ทัน แต่ถ้าส่งกระดาษ คำตอบไปแล้ว อย่าไปคว้ากลับมาแก้ไขด้วยเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้รับการทวงถามจากกรรมการผู้คุมสอบ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Les fêtes de la fertilité du mois de février

L’association du milieu du mois de février avec l’amour et la fertilité date de l’antiquité. Dans le calendrier de l’Athènes antique, la période de mi-janvier à mi-février était le mois de Gamélion, consacré au mariage sacré de Zeus et de Héra.
Dans la Rome antique, le jour du 15 février était nommé les lupercales ou festival de Lupercus, le dieu de la fertilité, que l’on représente vêtu de peaux de chèvre. Les prêtres de Lupercus sacrifiaient des chèvres au dieu et, après avoir bu du vin, ils couraient dans les rues de Rome à moitié nus et touchaient les passants en tenant des morceaux de peau de chèvre à la main. Les jeunes femmes s’approchaient volontiers, car être touchée ainsi était censé rendre fertile et faciliter l’accouchement. Cette solennité païenne honorait Junon, déesse romaine des femmes et du mariage, ainsi que Pan, le dieu de la nature.
Au moins trois saints différents sont nommés Valentin, tous trois martyrs[1]. Leur fête a été fixée le 14 février par décret du pape Gelase Ier, aux alentours de 498. C’est à cette date qu’ils sont mentionnés dans les premiers martyrologes[2] :
Valentin de Rome, un prêtre qui a souffert le martyre à Rome dans la seconde moitié du IIIe siècle et qui a été enterré sur la Via Flaminia.
Valentin de Terni, un évêque d’Interamma (le Terni moderne), qui a également souffert le martyre dans la deuxième moitié du IIIe siècle et qui a également été enterré sur la Via Flaminia.
Un martyr en Afrique du Nord dont on ne sait presque rien.
Le rapprochement entre la Saint-Valentin et l’amour courtois n’est mentionné dans aucune histoire ancienne et est considéré par des historiens comme une légende. Il existe une légende selon laquelle la fête de la Saint-Valentin a été créée pour contrecarrer la pratique des lupercales par les jeunes amoureux qui dessinaient leurs noms sur une urne, mais cette pratique n’est citée dans aucune source écrite de l’époque.
Le jour de la Saint-Valentin a longtemps été célébré comme étant la fête des célibataires et non des couples. Le jour de la fête, les jeunes filles célibataires se dispersaient aux alentours de leur village et se cachaient en attendant que les jeunes garçons célibataires les trouvent (définition des lupercales)[réf. souhaitée]. À l’issue de ce cache-cache géant, les couples formés étaient amenés à se marier dans l’année. Ceci permettait de développer la démographie et stimuler l’expansion des villages.Cette pratique laissait libre cours à beaucoup de tricheries de la part de couples officieux ainsi que des hommes qui visaient une jeune fille en particulier et notamment « la plus belle du village », très courtisée

วิธีผ่อนคลายความเครียด

วิธีดังต่อไปนี้จะช่วยคุณผ่อนคลายความเครียด
1. ลดหรือเลิกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โค้ก หรือ ช็อคโกแลต ถ้าคุณทำได้ผลที่ตามมาก็คือความผ่อนคลายทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น มีความกระฉับกระเฉงในการทำงาน และกล้ามเนื้อจะไม่อ่อนล้า
2. บริโภคอาหารให้ถูกสุขลักษณะ พยามยามยกเว้นบริโภคอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (JUNK FOOD) 3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยที่สุดคุณควรออกกำลังกาย
3 ครั้ง ต่อ 1 อาทิตย์ โดยใช้เวลา 30 นาทีต่อครั้งเป็นอย่างต่ำ การออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมได้แก่ การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ เล่นเทนนิส หรือ แบตมินตัน
4. นอนให้เพียงพอ เมื่อคุณพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้มีโอกาสเกิดความเครียดได้สูง ถ้าคุณกำลังเผชิญอยู่กับความเครียด ลองใช้วิธีดังต่อไปนี้ เข้านอนเร็วกว่าปกติ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นถ้าคุณยังรู้สึกอ่อนเพลียให้คุณเข้านอนเร็วกว่าเดิมอีก 30 นาที จากนั้นคุณจะค้นพบเวลานอนที่เหมาะสมกับตัวคุณเองที่จะทำให้คุณไม่อ่อนเพลีย 3 สิ่งที่บ่งบอกว่าคุณนอนหลับเพียงพอ คือ รู้สึกสดชื่นเวลาตื่นนอน รู้สึกกระฉับกระเฉงตลอดวันคุณจะตื่นนอนขึ้นเองในตอนเช้าโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก
5.รู้จักฝึกฝนตนเองให้ผ่อนคลายอยู่เสมอเมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น คุณควรปฏิบัติดังนี้ หาเวลาเดินเล่นหรือนั่งเล่นในสวน ใช้เวลาเล่นกับสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน หรือการนอนหลับฯลฯ และยังมีกิจกรรมที่ยังต้องอาศัยทักษะเฉพาะด้านที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ เช่น การนั่งสมาธิ
6. จริง ๆ แล้ว หนึ่งในวิธีที่จะผ่อนคลายความเครียดได้ดีที่สุดคือ การงดเว้นการทำกิจกรรมต่าง ๆ
7. ไม่ควรตั้งความหวังให้สูงเกินไป คนส่วนใหญ่เกิดความเครียดเนื่องจากการไม่สมหวังฉะนั้น คุณไม่ควรตั้งความหวังไว้สูง ควรตั้งความหวังให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
8. มองโลกในแง่ดี และเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นเรื่องท้าทาย
9. เมื่อเกิดความเครียดพยายามหาที่ปรึกษาพูดคุยที่คุณไว้ใจได้
10. อารมณ์ขันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบำบัดความเครียด