วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552


คริสต์มาส

คริสต์มาส หรือ วันคริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas, Christmas Day หรือย่อ ๆ ว่า XMas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งคริสต์ศาสนา ซึ่งเชื่อกันว่าตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี พระองค์ประสูติที่เมืองเบธเลเฮมและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน
คริสต์มาสเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองโดยชาวคริสต์ สำหรับการร่วมฉลองเทศกาลคริสต์มาสของผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสต์อาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา แต่เป็นการฉลองเทศกาลที่ได้พัฒนากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำปี การที่วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งการให้ของขวัญและการตกแต่งบรรยากาศ จึงทำให้ช่วงเวลานี้มีปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สูงทั้งกับชาวคริสต์และผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสต์ เทศกาลคริสต์มาสจึงกลายเป็นกิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของผู้ค้าปลีก

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เข้าฤดูหนาว

ในฤดูนั้น ส่วนมาก สาวๆๆ จะกลัว ผิวแห้ง
เรามีวิธีมานำเสนอจ้า
1. ใช้ครีมบำรุงผิว อยู่เสมอ
2. ไม่อาบนำอุ่มมาก
3. พยายามดื่มนำ แยอะนะ

และนี้คือวิธีที่เรานำมาเสนอค่ะ

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีปฏิบัติในการทำบุญวันเกิด

วิธีปฏิบัติในการทำบุญวันเกิด
วิธีปฏิบัติ ในการทำบุญวันเกิดอาจเลือกปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้ ดังนี้
๑. ตักบาตรพระสงฆ์เท่าอายุหรือเกินอายุหรือกี่รูปก็ได้ตามสะดวก

๒. บำเพ็ญกุศลอุทิศแก่บรรพบุรุษ ที่เรียกว่า ทักษิณานุประทานก่อนแล้วจึงบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันเกิด ๓. ทำบุญ สวดมนต์ เลี้ยงพระ หรือมีพระธรรมเทศนาด้วย
๔. ถวายสังฆทาน
๕. ทำทานช่วยชีวิตสัตว์ เช่นปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯ หรือส่งเงินไปบำรุงโรงพยาบาลหรือกิจกรรมด้านสังคมสงเคราะห์อื่นๆ
๖. รักษาศีลหรือบำเพ็ญภาวนา
๗. กราบขอรับพรจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ
๘. บำเพ็ญคุณประโยชน์อื่นๆ โดยมุ่งที่การให้ มากกว่า เป็นการรับ

อานิสงส์หรือผลดีของการทำบุญวันเกิด
การทำบุญวันเกิด คือการปรารภวันเกิดและทำความดีในวันนั้นเป็นเหตุให้ได้รับผลดีหรืออานิสงส์ตอบแทน ดังมีพุทธภาษิตความว่า “ผู้ให้อาหาร ชื่อว่า ให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่า ให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยาน ชื่อว่า ให้ความสุข ผู้ให้ประทีป ชื่อว่า ให้ดวงตา” (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๕ ข้อ ๑๓๘ หน้า ๔๔ ) และพระพุทธภาษิต ความว่า “ผู้ให้สิ่งที่น่าพอใจ ย่อมได้สิ่งที่น่าพอใจ ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศ ผู้ให้สิ่งประเสริฐ ย่อมได้สิ่งที่ประเสริฐ ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐสุด ย่อมได้สิ่งที่ประเสริฐสุด “ (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๒ ข้อ ๔๔ หน้า ๖๖)
ข้อเสนอแนะในการทำบุญวันเกิด
๑. กิจกรรมในการทำบุญวันเกิดควรเน้นคุณค่าทางจิตใจมากกว่าวัตถุ เช่นทำจิตใจให้สงบแจ่มใสและทำบุญตามศรัทธา

๒. ควรเป็นกิจกรรมที่มุ่งบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือส่วนรวม เช่นการบริจาคทาน สมทบทุนเพื่อสาธารณประโยชน์ ใช้แรงงานของตนเองเพื่อส่วนรวม
๓. ควรมุ่งเน้นให้เป็นการประหยัด จัดงานวันเกิดในวงครอบครัวไม่ควรจัดหรูหราฟุ่มเฟือย
๔. ควรอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ไม่จำเป็นต้องจัดแบบต่างประเทศ เช่นตัดเค้กวันเกิดจุดเทียน หรือเป่าเทียน ร้องเพลงภาษาต่างประเทศอวยพรวันเกิด ฯลฯ
๕. ในกรณีที่ผู้น้อยไปรดน้ำอวยพรวันเกิดผู้ใหญ่ นิยมอ้างคุณพระศรีรัตนตรัยก่อนแล้วจึงมีคำอวยพร ส่วนของขวัญที่จะให้นั้น ควรทำด้วยน้ำพักน้ำแรงหรือของที่ประดิษฐ์ด้วยฝีมือตนเอง ถ้าเป็นดอกไม้ควรเป็นดอกไม้ที่ปลูกในประเทศไทย กรณีที่ผู้ใหญ่อวยพรวันเกิดผู้น้อย ผุ้ใหญ่ควรกล่าวถ้อยคำอันเป็นมงคลแก่ผู้รับ

ทำบุญอายุ
การทำบุญอายุ มักนิยมทำกัน เมื่ออายุ ๒๕ ปี ซึ่งเรียกว่าเบญจเพสแผลงมาจาก ปัญจวีสะ คำว่าเบญจเพส ก็แปลว่า ๒๕ นั่นเอง ถือกันว่าตอนนี้เป็นตอนสำคัญ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะย่างขึ้นสู่สภาวะผู้ใหญ่ ตั้งตนให้เป็นหลักเป็นฐาน ถ้าดีก็ดีกันในตอนนี้ ถ้าเอาดีไม่ได้ก็อาจจะเสียคน ด้วยเหตุนี้จึงมีการทำบุญเมื่ออายุ ๒๕ ปีเพื่อส่งให้เจริญงอกงามต่อไป ต่อจากนั้นก็ทำเมื่ออายุ ๕๐ หรือ ๖๐ ปีอีกครั้งหนึ่ง เพราะถือกันว่าตอนนิอายุย่างเข้ากึ่งหนึ่งของศตวรรษแล้ว และเจริญมากถึงที่สุดแล้ว ต่อไปร่างกายก็มีแต่จะทรุดโทรมลงทุกวัน การทำบุญที่อายุปูนนี้จึงเป็นการทำโดยไม่ประมาท ร่างกายเสื่อมลงไปๆ จึงควรทำบุญไว้ เพื่อเป็นประกันในเมื่อจวนจะหมดลมจะได้นึกว่าทำดีไว้มากแล้ว ถึงตายก็ตายอย่างสงบ อนึ่งการทำบุญอายุนี้ บางทีทำกันเมื่อมีอายุครบ ๒ รอบ ๓ รอบ ๔ รอบ ไปจนถึง ๕ -๖ รอบฯลฯ รอบหนึ่งมี ๑๒ ปีถ้าบรรจบปีเกิดในรอบไหนก็ทำในรอบนั้น วิธีปฏิบัติ อานิสงส์ผลดีหรือข้อเสนอแนะ เช่นเดียวกับการทำบุญวันเกิด

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

นักเต้นขาแดนซ์


รู้เท่าทันและป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Healthplus)

รู้เท่าทันและป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Healthplus)
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่รุนแรงและสร้างความทรมานต่อผู้ป่วยเป็นเวลาหลายๆ ปี และถ้าได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องหรือช้าเกินไป สมรรถภาพของข้อจะเสียไป เกิดความพิการ ซึ่งบางครั้งไม่สามารถแก้ไขได้
สาเหตุการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่นอน เชื่อว่าเริ่มจากมีการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อและเยื่อบุชนิดต่างๆ ของร่างกาย อันเป็นผลจากการตอบสนองของระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคบางชนิด เชื้อไวรัสหรือสารพิษบางอย่าง และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ โรคนี้จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 5 เท่า อาการอาจเริ่มปรากฏในช่วงอายุเท่าใดก็ได้ แต่จะพบมากในช่วงอายุ 30-50 ปี ถ้าหากเริ่มเป็นตั้งแต่เด็กก็มักจะมีอาการรุนแรงในเด็กจะมีอาการต่างจากผู้ใหญ่

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้
1. มีการอักเสบเรื้อรังของข้อหลายๆ ข้อทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 อาทิตย์
2. ข้ออักเสบ พบบ่อยที่บริเวณ ข้อมือ ข้อโคนนิ้วมือ ข้อกลางนิ้วมือ ข้อเข่า ข้อเท้า ซึ่งจะมีอาการปวด บวม และกดเจ็บตามข้อต่างๆ ถ้าเป็นมานานจะมีข้อผิดรูปได้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุข้อ การคั่งของเลือดในบริเวณข้อ ขาดการออกกำลังกายและการทำกายภาพบำบัด กินอาหารไม่เพียงพอหรือการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ
3. มีอาการข้อฝืด ข้อแข็ง เคลื่อนไหวลำบาก ในช่วยตื่นนอนตอนเช้า มักต้องใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงจึงจะเริ่มขยับข้อได้ดีขึ้น ในช่วยบ่ายๆ มักจะขยับข้อได้เป็นปกติ
4. พบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เบื่ออาหาร กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยหมดทั้งตัว น้ำหนักลด มีไข้ต่ำๆ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ หลอดเลือดอักเสบปุ่มรูมาตอยด์ใต้ผิวหนัง และภาวะเลือดจาง
5. ตรวจเลือดพบมีรูมาตอยด์แฟคเตอร์ แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้จะตรวจเลือดพบเพียงร้อยละ 50-70 เท่านั้น ดังนั้นถ้าตรวจไม่พบรูมาตอยด์ ก็ไม่ได้ หมายความว่าไม่เป็นโรครูมาตอยด์แต่ผู้ที่มีปริมาณรูมาตอยด์แฟคเตอร์สูงจะมีอาการรุนแรงกว่า
6. เจาะน้ำในข้อไปตรวจ
7. เอกซเรย์ ไม่จำเป็น ยกเว้นในกรณีที่ใช้ประเมินว่าข้อถูกทำลายไปมากน้อยเพียงใด เพราะอาจจะต้องผ่าตัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง มีอาการเป็นๆ หายๆ สามารถใช้ข้อต่างๆ ได้เกือบเท่ากับคนปกติ จะมีผู้ป่วยส่วนน้อยประมาณร้อยละ 20 เท่านั้นที่มีอาการรุนแรง ทำให้เกิดความพิการมีข้อบิดเบี้ยวผิดรูปร่างจนใช้งานไม่ได้ และมีผู้ป่วยจำนวนน้อยมาก ที่จะมีอาการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ตา หัวใจ หลอดเลือด ปอดม้าม เป็นต้น โรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ก็เป็นโรคที่สามารถควบคุมอาการได้ แต่ต้องใช้เวลานาน ดังนั้น ผู้ป่วยจะต้องมีความอดทนในการรักษา ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์หรือเปลี่ยนยาเองเพราะจะทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อตัวผู้ป่วยเองโดยเฉพาะเมื่อเกิดความพิการขึ้นแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเหมือนเดิมได้ สำหรับข้อที่มีการอักเสบอยู่แล้ว การรักษาจะเป็นการควบคุมโรคไม่ให้เป็นมากขึ้น ดังนั้นข้อก็อาจจะบวม ผิดรูปอยู่เหมือนเดิม ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการรักษาไม่ได้ผล โรครูมาตอยด์มีความรุนแรงแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ดังนั้นแพทย์ก็จะให้การรักษาแตกต่างกันไป โดยเฉพาะในระยะแรกแพทย์อาจต้องปรับเปลี่ยนยาไปมา เพื่อหาว่ายาตัวใดเหมาะสมกับผู้ป่วยคนนั้นมากที่สุด ส่วนผลการรักษาจะดีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาที่เป็นโรค ความรุนแรงของโรค การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโดยเฉพาะการทำกายภาพบำบัดของข้อและการใช้ข้ออย่างถูกวิธี

แนวทางการรักษา
1. การทำกายภาพบำบัดของข้อ เช่น ประคบด้วยความร้อน หรือแช่ในน้ำอุ่น ใส่เฝือกชั่วคราวในช่วงที่อักเสบมากหรือตอนกลางคืน เพื่อลดอาการปวดและป้องกันข้อติดผิดรูป ขยับข้อให้เคลื่อนไหวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันข้อติดแข็ง โดยเฉพาะนิ้วมือและข้อมือ ออกกำลังให้กล้ามเนื้อแข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อนิ้วมือ มือ และแขน ซึ่งอาจจะใช้วิธีบีบฟองน้ำ ลูกบอลยาง ลูกเทนนิสหรือเครื่องออกกำลังที่ใช้มือบีบอื่นๆ รวมถึงการยกน้ำหนัก 1-3 กิโลกรัมร่วมด้วยก็ได้ ใช้ข้ออย่างถูกวิธี พยายามกระจายแรงไปหลายๆ ข้อ เช่น ใช้มือสองข้างช่วยกันจับสิ่งของแทนการใช้มือข้างเดียว ใช้ข้อใหญ่ออกแรงแทนข้อเล็ก เช่น ใช้แขนเปิดประตูแทนใช้ข้อมือ หรือ ใช้อุ้งมือเปิดฝาขวดแทนใช้นิ้วมือ ปรับสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสม เช่น ก๊อกน้ำควรเป็นแบบคันโยก ไม่ควรใช้แบบบิด-หมุน ประตูควรเป็นแบบเลื่อนเปิด-ปิด ไม่ควรใช้ลูกบิด
2. ยากลุ่มระงับการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง จะช่วยลดอาการปวดและบวมตามข้อได้ค่อนข้างดี และเมื่อเลือกใช้ยาตัวใดก็ควรรับประทานยาติดต่อกันอย่างน้อย 2 อาทิตย์ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจึงเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่น ผลข้างเคียงที่สำคัญของยาทุกตัวในกลุ่มนี้ คือ ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ แสบท้อง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร อาจจะมีบวมบริเวณหน้าแขน ขา ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังและ ต้องระวังการใช้ยาในผู้สูงอายุ ยากลุ่มนี้จะมียาใหม่ที่มีผลข้างเคียงเกี่ยวกับการเกิดแผลในทางเดินอาหารน้อย แต่จะมีราคาค่อนข้างแพง จึงควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในทางเดินอาหาร เช่น ผู้สูงอายุ หรือ ผู้ที่เคยมีแผลในทางเดินอาหาร
3. ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยากลุ่มนี้มีทั้งชนิดกินและฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าข้อ จะใช้เมื่อการอักเสบรุนแรง แต่ไม่ควรใช้ในขนาดสูงหรือใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะผลข้างเคียงมาก เช่นกระดูกพรุน ไตวายเฉียบพลัน ติดเชื้อง่าย เมื่อหยุดยาก็จะกลับมีอาการขึ้นอีก ในช่วงที่มีการอักเสบมาก อาจใช้ในขนาดสูง เมื่ออาการดีขึ้นก็ควรลดยาลง
4. ยากลุ่มยับยั้งข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่ออกฤทธิ์ช้า เป็นยาที่ค่อนข้างอันตราย มีผลข้างเคียงมาก แพทย์จึงจะใช้ในกรณีที่ใช้ยากลุ่มอื่นแล้วไม่ได้ผล หรือในผู้ที่มีอาการอักเสบรุนแรง มีรูมาตอยด์แฟคเตอร์ในเลือดสูง ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ช้า กว่าจะเห็นผลต้องให้ยาติดต่อกันอย่างน้อย 2 เดือนขึ้นไป ยาที่ใช้บ่อย และค่อนข้างปลอดภัยคือ ยาคลอโรควิน ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคมาลาเรีย และสามารถลดการอักเสบในโรครูมาตอยด์ได้ด้วย โดยมักจะใช้ควบคู่ไปกับยาในข้อ 2 มีผลข้างเคียงคือ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ตาพร่า ผื่นคัน ผิวแห้ง ผิวคล้ำ ซึ่งจะลดอาการทางผิวหนังได้โดยหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง แต่ถ้าเกิดผลข้างเคียงมาก เช่น ตาพร่า ก็ต้องหยุดใช้ยา ยาตัวอื่นในกลุ่มนี้ เช่น ยา MTX ยาเกลือทอง ยาที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยังมียาใหม่ๆ ที่เริ่มนำมาใช้อีกหลายชนิด ซึ่งเป็นยาที่อันตราย มีผลข้างเคียงสูง ถ้าจะใช้ต้องอยู่ภายได้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด
5. การผ่าตัด เช่น ผ่าตัดเลาะเยื่อบุข้อที่มีการอักเสบออก ผ่าตัดเย็บซ่อมหรือย้ายเส้นเอ็น ผ่าตัดเชื่อมข้อติดกัน ผ่าตัดกระดูกปรับแนวข้อให้ตรงขึ้น ผ่าตัดใส่ข้อเทียม การผ่าตัดถือว่าเป็นการรักษาปลายเหตุเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น

บุหรี่ไฟฟ้า Duracig

บุหรี่ไฟฟ้า Duracig ทางออกสำหรับผู้สูบบุหรี่ไม่เกิดการเผาไหม้ ทำให้ปราศจาก ทาร์ คาร์บอนมอนออกไซด์ บิวเทน แอมโมเนีย ไซยาไนด์ไนโตรเจนไดออกไซด์ สารหนู ฟีนอล กัมมันตภาพรังสีและฯลฯ ที่สามารถทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด คอและปาก ปลอดภัยกับผู้ใช้และผู้ใกล้ชิดสิ่งที่ผู้สูบเจ้าบูหรี่ไฟฟ้าจะได้รับมีอย่างเดียวก็คือ นิโคติน ครับ เหมือนกับที่เคี้ยวหมากฝรั่งเลิกบุหรี่จึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้สูบและคนรอบข้าง ใช้แทนบุหรี่จริงได้ 100%ด้วยเทคโนโลยี่ใหม่ ที่สร้างความรู้สึกเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ แต่ไม่มีสารพิษใดๆ ที่ทำให้เกิดโรคร้ายทั้งหมดตั้งแต่มะเร็งปอด มะเร็งคอ มะเร็งในช่องปาก หลอดลม ถุงลมโป่งพอง โรคหัวใจ และอีกมากมาย ไม่เกิดการเผาไหม้ ทำให้ปราศจาก ทาร์ คาร์บอนมอนออกไซด์ บิวเทน แอมโมเนีย ไซยาไนด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ สารหนู ฟีนอล และกัมมันตภาพรังสี ฯลฯ ควันที่ออกมาไม่เป็นอันตรายต่อผู้สูบและคนรอบข้าง เพราะไม่ใช่ควันจากการเผาไหม้แต่เป็นเพียงละอองน้ำนาโนเสมือนจริงเพื่อคงไว้ซึ่งสุนทรีย์ในการสูบขนาดและหน้าตาเหมือนบุหรี่จริงทุกประการ คุณจึงมั่นใจได้ ซึ่งสุนทรีย์ในการสูบและแทนที่บุหรี่จริงได้ 100%ไม่ต้องทรมานจากการอดแบบหักดิบ พ่นควันได้! และที่สำคัญคือไม่เป็นอันตรายต่อผู้สูบและบุคคลรอบข้างกลิ่นเป็นเพียงกลิ่นอโรม่า ไม่ได้เกิดจากควันเหมือนบุหรี่จริงจึงไม่เป็นอันตราย ท่านสามารถสูบบุหรี่ไฟฟ้าElectric Cigaretteแทนบุหรี่จริง ตามระดับที่ท่านเคยชินกับการสูบบุหรี่ปกติแล้วลดระดับนิโคตินที่ได้รับลงจนไม่ต้องใช้นิโคตินเลยผลิตด้วยเทคโนโลยี่ micro computer ซึ่งเป็นตัวควบคุมการ ทำงานของผลิตภัณฑ์ ผลิตภายใต้ การดูแลของ China Health Care Society and Beijing Health Care Departmentซึ่งอยู่ภายใต้คำแนะนำของการควบคุม นิโคติน ขององค์การอนามัยโลก WHOลักษณะ E-Cigarette จะเหมือนกับบุหรี่ทั่วไปเพียงไม่ต้องใช้ไฟในการสูบ แต่ใช้ผลทาง electronic แต่มีควันและแสงไฟและยังคงให้ความรู้สึกเหมือนบุหรี่ ทั่วไป เพียงแต่ให้ผลต่อร่างกายผู้สูบน้อยมาก และยังไม่มีผลต่อผู้อยู่ข้างเคียงอีกด้วยซึ่งผู้เลิก ยังผ่อนคลายได้เหมือนเดิมจนสามารถเลิกได้ โดยปกติของผู้ติดบุหรี่ สาเหตุความอยากมาจากร่างกายยังคงต้องการ นิโคตินจากบุหรี่อยู่ ผู้อยากเลิกจะรู้สึกอยากอยู่ จากการเลิกโดยหยุดสูบทันที ทำให้เลิกไม่ได้เด็ดขาด แล้วก็กลับมาสูบอีกE-Cigarette จะช่วยให้ผู้เลิกค่อยๆ ลดนิโคตินลงตามขั้นตอน จากการสูบแบบปกติ จนร่างกายค่อยปรับความสมดุลย์ และไม่อยากอีกคุณสมบัติ1 ไม่มีสาร Tar ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ2 ไม่ต้องใช้ไฟในการสูบ ซึ่ง จะมี carbon monoxide เหมือนบุหรี่ทั่วไป3 ไม่มีผลต่อสภาวะแวดล้อม และผู้อยู่ใกล้ ซึ่งต้องได้รับจากควันของผู้สูบเหมือนบุหรี่ทั่วไป4 ไม่มีประกายไฟที่จะก่อชนวน จึงสามารถสูบในที่ห้ามสูบได้5 ไม่หักหาญความรู้สึกของผู้จะเลิกได้ เพียงทำตามขั้นตอนการเลิกเหมาะทั้งสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่และผู้ที่ไม่คิดจะเลิกสูบ เนื่องจากไม่เป็นอันตรายทั้งต่อผู้สูบและคนรอบข้าง ขจัดปัญหาเรื่องกลิ่นบุหรี่ติดห้อง ประหยัดค่าบุหรี่ได้ในระยะยาว แถมสุขภาพดีตามมาด้วยเหมาะสำหรับซื้อให้ตัวเองเพื่อคนรอบข้างที่รักคุณและยังเหมาะสำหรับซื้อให้คนที่คุณรักและห่วงใยสำหรับรุ่นที่เราจำหน่าย เป็นรุ่นเดียวและผลิตจากโรงงานที่เดียวกับ JantyUSA http://www.jantyusa.com ครับ ดังนั้นมาตรฐานจึงสูง และปลอดภัยแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์ครับ ดูรุ่นที่ชื่อว่า Dura-c ได้เลยครับ เป็นรุ่นที่ให้ปริมาณไอน้ำได้เยอะที่สุดแล้วในขณะนี้ และเป็นรุ่นที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศ

คนชื่อแปลก


วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Don't cramวิธีนี้ไม่ได้ผลหรอกการเร่งดูหนังสือในเวลาอันสั้นๆจะทำให้คุณเหนื่อยเปล่าคุณควรเตรียมตัวอ่านและทบทวนหลายๆสัปดาห์ก่อนที่จะสอบ Practiceถ้าหากคุณเรียนเฉพาะส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงคุณก็จะลืมมันได้อย่างรวดเร็ว คุณจำเป็นต้องมีการฝึกฝนเช่นในวิชาภาษาอังกฤษ คุณจะต้องเอาคำศัพท์ใหม่ที่เรียนมานั้นแต่งประโยคและพูดออกมาดังๆ สำหรับวิชาวิทยาศาสตร์คุณจำเป็นจะต้องทำหลาย ๆ แบบฝึกหัดเท่าที่คุณจะทำได้ การฝึกจะทำให้คุณเข้าใจข้อเท็จจริงดีขึ้น Read with your eyes closedอันดับแรกคุณก็อ่านจากสมุดจดและหนังสือเรียนด้วยความระมัดระวัง จากนั้นให้ปิดหนังสือและให้หากระดาษมาหนึ่งแผ่น และเขียนหัวข้อสำคัญๆที่อ่านมาแล้ว ซึ่งจะช่วยทำให้คุณเข้าใจว่าคุณจำเป็นจะอ่านทบทวนส่วนไหนเพิ่มเติมGet the big pictureทำเป็นโน๊ตย่อหัวข้อที่สำคัญๆโดยดึงเนื้อหาจากสมุดจดหรือจากหนังสือเรียน แบบฝึกหัดหรือสิ่งอื่น ๆ ที่ได้จากห้องเรียน เรียบเรียงลำดับเนื้อหาใหม่ซึ่งจะทำให้คุณเห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหาและยังทำให้คุณจดจำเนื้อหาได้เป็นเวลานานอีกด้วย Talkให้ถามรุ่นพี่ที่เรียนมาแล้วเกี่ยวกับคำถามหรือเกี่ยวกับแนวข้อสอบเก่าๆว่าเป็นอย่างไรแล้วคุณจะได้เตรียมถูก หรือพร้อมมากยิ่งขึ้นGet helpยามใดที่คุณไม่เข้าใจอะไรสักอย่างขอให้ถามอาจารย์ซึ่งท่านจะเป็นผู้ที่ช่วยเหลือคุณได้อย่างดีหรืออาจจะเป็นเพื่อน หรือใครก็ได้ที่เข้าใจวิชานั้นเป็นอย่างดีไม่ต้องรอกระทั่งจะถึงวันสอบพรุ่งนี้แล้วค่อยถาม มันอาจจะเป็นว่าสายเกินไปแล้ว!!!Triage Principleถ้าหากคุณเห็นว่าเวลาเรียนไม่พอแล้ว คุณควรจะทำอย่างไรดี ? ควรจะอ่านในส่วนที่คุณเข้าใจเพียงน้อยนิดหรือควรที่จะอ่านในส่วนที่คุณพอมีความรู้บ้างคุณควรจะอ่านในส่วนที่คุณพอมีความรู้อยู่บ้างซึ่งจะทำให้คุณรู้มากยิ่ง ๆ ขึ้น เป็นการดีที่รู้ในบางส่วนที่รู้อยู่แล้วให้รู้มาก ๆ ยิ่งขึ้นดีกว่าการรู้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆFocus on objectives ให้กลับไปอ่านจุดประสงค์การเรียนอีกรอบ จากนั้นให้ทดสอบรายจุดประสงค์แบบ Pre-test ว่าคุณทำผ่านเกณฑ์ไหม ถ้าจุดประสงค์ไหนทำไม่ได้หรือได้คะแนนน้อย ให้กลับไปเรียนใหม่ตามจุดประสงค์ที่คุณยังไม่รู้เรื่องดีพอManage timeคุณจะต้องดูหนังสืออย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวันในวิชาที่ยากๆอย่างเช่นวิชาเคมี คุณจะต้องจัดตารางเรียนขึ้นมา และจะต้องอ่านตามตารางที่จัดไว้ ให้จัดระบบการอ่านหนังสือกับเพื่อนและจะต้องอ่านตามตารางที่จัดไว้ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นบังคับคุณไปในตัวไม่ให้ขี้เกียจ Relax พยายามพักผ่อนหรือทำตัวสบายๆอย่าดูหนังสือกับเพื่อนที่ทนงตน หลงตัวเองคิดว่าตัวเองเก่งแล้วไม่ต้องอ่านก็สอบได้ เด็ดขาด คืนก่อนสอบให้เตรียมหนังสือ ปากกาและจัดกระเป๋าให้เรียบร้อยและเขัานอนแต่หัวคํ่า ถ้าหากคุณยังดูหนังสือดึกจะทำให้คุณเหนื่อยและยิ่งทำให้คุณเครียดมากขึ้นเมื่อเข้าสอบจะยิ่งทำให้คุณเบลอไปเลยแหละ!!(นะจะบอกให้)

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เทคนิกกานจำข้อสอบ

1. ตื่นแต่เช้า ล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าว ให้อิ่ม แล้วก็นั่งอยู่นิ่งๆ เงียบๆ ซัก 5 นาที แล้วก็เริ่ม อ่านหนังสือแบบคร่าวๆ ให้พอผ่านตา
2. หาอะไรก็ได้มาดื่ม ( ยกเว้นกาแฟ กับ น้ำอัดลม แล้วก็เครื่องดื่มมีแอลกอฮอลนะ )แล้วก็เริ่มเอาปากกาเน้นข้อความขีดลงในข้อความที่เราอ่านไปคร่าวๆเมื่อกี๊ เน้นขีดตรงที่สำคัญๆนะ
3. แล้วก็ให้เราหาลูกอมซักเม็ดมากิน ( เอาที่หวานๆนะ ) แล้วก็อ่านตรงที่เราขีดเน้นข้อความไปเมื่อกี๊ อ่านซัก 2 รอบ
4. หากิจกรรมอะไรก็ได้ที่เราชอบมาทำ ( อย่างเช่นเล่นกีฬา ดูทีวี )
5. แล้วก็ให้กลับมาอ่านข้อความทีเราขีดไว้อีกรอบ แค่นี้เราก็จะจำข้อสอบที่เราได้อ่านได้อย่างแม่นยำเลยล่ะ ^ ^

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฟ้าทะลายโจร


ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่ใช้บรรเทาอาการหวัดได้



รับประทารครั้งละ 4 เม็ด หลังอาหาร 3 มื้อ และก่อนนอน ฉสามารถใช้ร่วมกับยาแก้ไข้พาราได้)

หรือใช้ใบสด ประมาณ 1 กำมือล้างสะอาด ต้ทกับนำ 10-15 นาที ดื่มหลังอาหาร 3 มื้อ และก่อนนอน


คำเตือน : ไม่ควรใช้นานเกิน 7 วัน

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การแพร่เชื้อ

เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มีการแพร่ติดต่อเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคน โดยทั่วไปเชื้อที่อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ไปยังผู้อื่นโดยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือติดจากมือ และสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก และตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา ไม่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อหมู ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไอ มีน้ำมูก หากป่วย และมีอาการดังกล่าว ควรสวมหน้ากากอนามัย วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 และหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด ประชาชนทั่วไปควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผัก ผลไม้ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ งดดื่มเหล้า ล้างมือบ่อยๆ

วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009

วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 เมื่อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระบาดเข้ามาในเอเชีย ( ฮ่องกง ) ชักจะใกล้บ้านเราเข้าไปทุกที วันนี้จึงขอเสนอวิธีวิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด นั่นคือการล้างมือ วิธีง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเอง และหลายๆ คนมองข้าม ฝึกให้เป็นกิจวัตรประจำวันเพื่อสุขภาพที่ดีของเรา
วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 การป้องกันทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ล้างมือบ่อยๆ กรมควบคุมโรคได้เปิดศูนย์ Call Center วิธีป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ให้ประชาชนสอบถามสถานการณ์ของโรคได้ที่หมายเลข 0-2590-3333

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คำแนะนำเรื่องไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่

คำแนะนำกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1เอ็น1)
ฉบับที่ 7
วันที่ 13 มิถุนายน 2552

ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1เอ็น 1) กำลังขยายตัวไปทั่วโลก และขณะนี้ประเทศไทยพบการระบาดภายในประเทศแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานศึกษา และสถานประกอบการ ซึ่งอาจแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้มีอาการคล้ายกันกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ส่วนใหญ่มีอาการน้อยและหายได้โดยไม่ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล สำหรับผู้ป่วยจำนวนไม่มากในต่างประเทศที่เสียชีวิต มักเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน เป็นต้น ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ โรคอ้วน ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และหญิงมีครรภ์ สำหรับวิธีการติดต่อและวิธีการป้องกันโรค จะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ธรรมดา กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้คำแนะนำในการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1 เอ็น 1) ดังต่อไปนี้

คำแนะนำสำหรับประชาชนทั่วไป
1. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ
2. ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น
3. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด
4. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ดื่มน้ำมากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
5. ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็น
6. ติดตามคำแนะนำอื่นๆ ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่
1. หากมีอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้ สามารถรักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ
2. ควรหยุดเรียน หยุดงาน จนกว่าจะหายเป็นปกติ และหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
3. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องอยู่กับผู้อื่น หรือใช้กระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม
4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม
5. หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม ควรรีบไปพบแพทย์

คำแนะนำสำหรับสถานศึกษา
1. แนะนำให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้านหรือหอพัก หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์
2. ตรวจสอบจำนวนนักเรียนที่ขาดเรียนในแต่ละวัน หากพบขาดเรียนผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปในห้องเรียนเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค
3. แนะนำให้นักเรียนที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน
4. หากสถานศึกษาสามารถให้นักเรียนที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ทุกคนหยุดเรียนได้ ก็จะป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ดี และไม่จำเป็นต้องปิดสถานศึกษา แต่หากจะพิจารณาปิดสถานศึกษา ควรหารือร่วมกันระหว่างสถานศึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่
5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะเรียน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่ อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง

คำแนะนำสำหรับสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน
1. แนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ พักรักษาตัวที่บ้าน หากมีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์
2. ตรวจสอบจำนวนพนักงานที่ขาดงานในแต่ละวัน หากพบขาดงานผิดปกติ หรือตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ในแผนกเดียวกัน และสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวนและควบคุมโรค
3. แนะนำให้พนักงานที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เฝ้าสังเกตอาการของตนเองเป็นเวลา 7 วัน ถ้ามีอาการป่วยให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน
4. ในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่แนะนำให้ปิดสถานประกอบการหรือสถานที่ทำงาน เพื่อการป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่
5. ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ ที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะทำงาน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได คอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกทั่วไปเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง จัดให้มีอ่างล้างมือ น้ำและสบู่อย่างเพียงพอ ในบางวันควรเปิดประตู หน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง
6. ควรจัดทำแผนการประคองกิจการในสถานประกอบการและสถานที่ทำงาน เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง หากเกิดการระบาดใหญ่ (ดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค http://beid.ddc.moph.go.th)

แหล่งข้อมูลการติดต่อ เพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่
1. กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
โทรศัพท์ 0 2245 8106 , 0 2246 0358 และ 0 2354 1836
2. ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง

ติดตามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข www.moph.go.th และหากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 0 2590 3333 และศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์ 0 2590 1994 ตลอด 24 ชั่วโมง

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ครู

ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ของสังคมและประเทศชาติ

ความสำคัญของวันครู

ความสำคัญของการไหว้ครู ไทยเรามีประเพณีการไหว้ครูมาแต่โบราณ เราไหว้ครูเพราะเราเคารพในความเป็นผู้รู้ และความเป็นผู้มีคุณธรรมของท่าน คุณสมบัติทั้ง 2 ประการของครูต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับคุณธรรมของศิษย์ การเรียนการสอนจึงจะดำเนินไปได้ด้วยดี ถ้าจะเปรียบการเรียนการสอนเป็นต้นไม้ คุณธรรมของครูนับตั้งแต่ปัญญา ความเมตตากรุณา และความบริสุทธิ์ใจซึ่งเป็นฐานรองรับให้ต้นไม้คงอยู่ได้ ในขณะเดียวกันคุณธรรมของศิษย์ไม่ว่าจะเป็นความเคารพ ความอดทน หรือความมีระเบียบวินัยก็เปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้ต้นไม้เจริญเติบโต ออกดอกออกผลอย่างงดงาม

ความหมาย "การไหว้ครู"

ความหมายของ"การไหว้ครู" "การไหว้ครู" คือ การแสดงถึงความเคารพกตเวทีแด่ท่านบูรพาจารย์ และครูบาอาจารย์ ผู้ซึ่งประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ เพื่อจะได้เป็นความรู้ติดตัวนำไปประกอบอาชีพ เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตนเองในภายภาคหน้า "การไหว้ครู" คือ การที่ศิษย์แสดงความเคารพ ยอมรับนับถือครูบาอาจารย์อย่างจริงใจว่า ท่านเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความรู้ ศิษย์ในฐานะผู้สืบทอดมรดกทางวิชาการ จึงพร้อมใจกันปวารณาตัวรับการถ่ายทอดวิชาความรู้ด้วยความวิริยะอุตสาหะมานะอดทน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายปลายทางของการศึกษาตามที่ได้ตั้งใจไว้ "การไหว้ครู" คือ การแสดงถึงความสำนึกที่ดีงาม โดยเฉพาะเรามักจะกระทำแก่สิ่งของหรือบุคคลที่มีความสำคัญแทบทั้งสิ้น เช่น นักเรียนประกอบพิธีไหว้ครู ก็เพราะนักเรียนเห็นว่าครูเป็นบุคคลที่สำคัญในชีวิตของเขา คือ เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้ และเป็นปูชนียบุคคล ครูอาจารย์จึงเป็นบุคคลที่คู่ควรแก่การไหว้เป็นอย่างยิ่ง

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ช่วงฤดูฝน

ฤดูฝน เป็นฤดูในเขตร้อน เป็นช่วงที่มีฝนตกมากที่สุดในปี ในประเทศไทยจะอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม

เปิดเทอมแร้ว

วันที่18 เปิดเรียนวันแรกนุกอ่ะ ดีใจที่ได้เจอเพิ้ลจัง
คิดถึงมากๆๆๆๆ อาทิตย์แรกก็อยากเรียนแร้ว
มีอาจารย์ฝรั่งมาสอนด้วย
เพื่อนแต่ล่ะคนก็เปลี่ยนไปเยอะมากเลย (น่ารักขึ้น)
ดีใจจังได้เรียนกับอาจารย์เกรียงไกร

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันพืชมงคล

วันพืชมงคล เป็นวันสำคัญที่กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย มีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพระราชพิธีโบราณ สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีนี้กระทำที่ท้องสนามหลวง
ทางราชการกำหนดให้วันพืชมงคลเป็นวันเกษตรกร และกำหนดให้วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ยกเว้นธนาคารและบริษัทเอกชนบางแห่งไม่หยุดทำการ วันพืชมงคลจะไม่ตรงกับวันเดิมตามสุริยคติหรือจันทรคติของทุกปี แต่สำนักพระราชวังจะเป็นผู้ประกาศวันพืชมงคล ให้เป็นวันใดวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม แล้วแต่ในแต่ละปี

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

สงกรานต์


สงกรานต์ เป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึงการเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างประเทศเรียกว่า "สงครามน้ำ"
สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี
พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของ
ฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ
การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ




วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552

สถานที่คลายร้อน (ทะเล)


พัทยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน เนื่องจากพัทยาอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพมากนัก เหมาะสำหรับพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ การเดินทาง ปัจจุบันสะดวกมาก ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น
หลายคนจะรู้จักพัทยามากกว่าชลบุรีซึ่งเป็นจังหวัดเสียอีก มากด้วยแหล่งบันเทิง การแสดง พิพิธภัณฑ์ เครื่องเล่น กีฬานานาชนิด ร้านค้า ร้านอาหาร

ชื่อพัทยามาจากไหน...
ตามประวัติเล่าว่า...พระเจ้าตากสินครั้นติฝ่าวงล้อมพม่ามารวบรวมพลฝั่งตะวันออก ได้หยุดพักแรมที่นาจอมเทียนและทุ่งไก่เตี้ยสัตหีบ ซึ่งภายหลังชาวบ้านเรียกตำบลนี้ว่า "ทัพพระยา" ต่ามาเรียกใหม่เป็น "ทัพธยา" และกลายเป็น "พัทยา" ในที่สุด บางคนก็เล่าว่า พัทยา มาจากชื่อของลมทะเลที่พัดจากตะวันตกเฉียงใต้ไปตะวันออกเฉียงเหนือในต้นฤดูฝนในปี พ.ศ. 2504 ระหว่างสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันได้เข้ามาตั้งฐานทัพในไทย และได้มาพักผ่อนเช่าบ้านพักตากอากาศที่หาดพัทยาหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเป็นประจำ และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของสถาที่พักตากอากาศชายทะเลอันมีชื่อเสียงต่อๆมาเราอาจแบ่งพื้นที่พัทยาเป็น 4 ส่วน เพื่อความเข้าใจง่ายๆ

พัทยาเหนือ-พัทยากลางมีโรงแรมระดับห้าดาว ต้นไม้ร่มรื่น บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ
พัทยาใต้ที่ชายหาดมีเก้าอีผ้าใบ เครื่องเล่นชายหาด ย่านศูนย์การค้า ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งบันเทิงยามราตรี ผลุกผล่านมากในเวลากลางคืน มีแผงขายสิ้นค้าริมทาง เช่น เสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องประดับ ฯลฯ
เขาพัทยาอยู่ระหว่างพัทยาใต้กับหาดจอมเทียน มีทางลาดยางจนถึงยอดเขา มีสวนสาธารณะขนาดย่อม เรียกว่าสวนเฉลิมพระเกียรติ บนยอดเขามีพระพุทธสุโขทัยชลทาน และพระรูปจำลองของเสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ นักท่องเที่ยวนิยมไปชมทัศนียภาพของเมืองพัทยาและอ่าวพัทยา โดยเฉพาะเวลากลางคืนหาดจอมเทียนเป็นชายหาดยาว 6 กม ห่างจากตัวเมืองพัทยา 4 กม. น้ำทะเลยังพอสะอาด มีเครื่องเล่นกีฬา

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิธีคลายร้อน

ใครที่เบื่ออากาศร้อน ๆ อยากคลายร้อน วันนี้มีวิธีคลายร้อนมาฝากกัน...
- ดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้ว หรือหลาย ๆ แก้วก็ได้ เพราะร่างกายขาดน้ำได้ไม่นาน
- สูดดมกลิ่นหอม ๆ ของสมุนไพร เช่น การบูร เมนทอล หรือใช้น้ำมันหอมระเหยในรูปแบบของ อโรม่า มาถูนวดเบา ๆ บริเวณขมับ ก็จะช่วยให้ผ่อนคลาย โล่งจมูก ไม่ปวดหัว
- ดูสิ่งบันเทิงเบาสมอง ที่จะทำให้มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เช่น ดูตลก อ่านการ์ตูน หรือฟังเพลงสบาย ๆ เบา ๆ
- ทำงานอดิเรกในสิ่งที่ตัวเองชอบ และทำแล้วมีความสุข เพลิดเพลิน
- รับประทานอาหารที่มีกากและเส้นใยสูง เช่น ผักและผลไม้ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายและลำไส้ทำงานได้ปกติ
- ขับเหงื่อด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่ไม่หนัก แต่ไม่เบาจนเกินไป

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

โรคไข้เลือดออก

สาเหตุ
ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส เดงกี่ โดยมียุงลายเป็นตัวนำ ยุงลายมีขนาดเล็ก สีดำ มีลายขาวที่ขา ท้องและลำตัว ชอบอยู่ตามมุมมืดของบ้านจะออกมากัดกินเลือดคนในเวลากลางวัน ชอบวางไข่ในน้ำสะอาด ไข่ยุงลายอยู่ในที่แห้งได้นานหลายเดือน เมื่อไข่แช่น้ำจะออกเป็นลูกน้ำ ใช้เวลา 7-10 วัน ก็จะเป็นตัวยุง เมื่อยุงลายกัดและดูดเลือดที่มีเชื้อโรคนี้ให้กับผู้ที่ถูกกัดเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่พบมากในเด็กอายุ 5-9 ปี
อาการ
ผู้ป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัด ไข้จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 วัน ต่อมาไข้จะลดลงผู้ป่วยมีอาการเบื่ออาหาร อาเจียน หน้าแดง สำหรับรายที่เป็นมากจะมีอาการซึม กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย มือเท้าเย็น แน่นหน้าอก ปวดท้อง ส่วนมากจะมีเลือดออก ใต้ผิวหนัง ซึ่งมองเห็นเป็นจุดเล็กๆ ขนาดเท่ายุงกัดหรือจ้ำสีแดงตามแขนขา และตามตัวทั่วไป บางรายอาจมีเลือดกำเดาไหล อาเจียนหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยหมดสติ และถึงตายได้
เมื่อใดควรพบแพทย์
ถ้าเด็กมีอาการสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก อย่าให้ยาลดไข้ที่มีแอสไพรินผสมอยู่ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเด็ก ให้นำเด็กที่ป่วยไปปรึกษาแพทย์ หรือส่งโรงพยาบาล ไม่ควรรักษาเองโดยเด็ดขาด อาจจะทำให้เด็กเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

Report เทศกาลหนังสือเด็กและเยาวชน ครั้งที่ 6


อันว่าเมืองไทยของเรานี้มีงานหนังสือมากมายในหนึ่งปี เหตุผลหนึ่งคงเพราะต้องการเพิ่มอัตราการอ่านหนังสือของคนไทยโดยเฉลี่ยให้เกินปีละ 6 บรรทัด (ตามคำบอกเล่าของผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักตักศิลาที่ไหนก็ม่ายรุ) กระมังครับ ดังนั้น ในทุกๆ ปี นอกจากจะมีงานขายหนังสือสเกลใหญ่ๆ อย่างงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ งานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ และงานเทศกาลหนังสือนานาชาติ (มักจะรวมเป็นส่วนหนึ่งของงานใหญ่สองงานข้างหน้า) แล้ว ในเดือน ก.ค. ก็ยังจะมีงานเทศกาลหนังสือเด็กและเยาวชนอีก ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็จัดต่อเนื่องมาจนเป็นครั้งที่ 6 แล้ว
งานหนังสือเด็กในปีนี้ก็ยังคงจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เช่นเดิม theme งานครั้งนี้คือ "สวนสุข สนุกอ่าน" ดังจะเห็นได้จากการตกแต่งบรรยากาศงานโดยรวมที่ทำออกมาให้ดูมีลักษณะเหมือนสวนสนุกและงานวัด (คล้ายกับงานเปิดโลกกิจกรรมของจุฬาฯ ในปีนี้เลยครับ) แถมยังมีงานวัดขนาดจำลองมาให้ได้เที่ยวชมกันจริงๆ ด้วยนะครับ อยู่ที่โซน C ชั้นล่าง ด้านหลังๆ (เดี๋ยวมาดูรูปกันนะครับ) ส่วนระยะเวลาที่จัดงานก็ 5 วันครับ ตั้งแต่ 16 - 20 ก.ค. 2551

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เทคนิคก่อนสอบ

ก่อนการสอบ
ทบทวน ท่อง ทฤษฎีบทหรือนิยาม ของบทเรียนที่จะมีการสอบ ให้ได้อย่างขึ้นใจ ชนิดที่ว่าแม้พิสูจน์โจทย์ข้อสอบนั้นไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถแสดงความสัมพันธ์ของโจทย์กับทฤษฎีบทหรือนิยามนั้นๆ ให้อาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบอ่านได้อย่างถูกต้อง รับรองว่าต้องได้คะแนนข้อนั้นอย่างแน่นอน จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับลายมือผู้สอบจะเขียนได้สวยแค่ไหน
2. ทบทวนแบบฝึกหัดทุกข้อ ที่อาจารย์ผู้สอนชอบย้ำนักหนาในห้องว่า "ข้อสอบก็ออกในแนวนี้ละ" หรืออาจารย์บางท่านก็พูดย้ำตรงๆ เลยว่า "ข้อนี้ออก............นะ" ดังนั้นเวลาเรียนถ้าเจออาจารย์พูดแบบนี้ ก็อย่าลืมเอาปากกาแดงทำ * กาไว้ที่แบบฝึกหัดข้อนั้นให้ใหญ่ๆ เลยทีเดียว รับรองไม่พลาด ถ้าข้อไหนทวนหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ให้ฝึกเขียนหลายๆครั้ง จนจำขึ้นใจ
3. เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนที่จะใช้ในการสอบให้พร้อม เข้านอนแต่หัวค่ำทำใจให้ผ่องใส อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิทำใจนิ่งๆว่างๆก่อนนอนสัก 5 นาที จะทำให้ใจสงบและหลับอย่างเป็นสุข พร้อมจะเผชิญอุปสรรค ของวันใหม่
4. ตื่นนอนตี 5 ของวันใหม่ ล้างหน้าล้างตาให้สดใส ทบทวนเนื้อหาทั้งหมด ตลอดจนทฤษฎีบท แบบฝึกหัด (ที่ทบทวนไปเมื่อวาน) โดยอ่านแบบผ่านๆ สายตา ความเงียบสงบของเช้าตรู่จะช่วยให้จำได้ดี
5. ถึงหน้าห้องสอบก่อนเวลา สัก 10 นาที ตรวจเลขที่นั่งสอบของตนเองให้เรียบร้อย และไม่ต้องสนใจที่จะถกปัญหาเรื่องโจทย์กับใคร ตลอดจนไม่อ่านหนังสือ หรือทบทวนอะไรในหัวสมองอีก ทำใจให้เบิกบานว่างๆ ไม่สนใจคนรอบข้าง
6. เมื่อผู้คุมสอบเรียกเข้าห้อง เข้านั่งประจำโต๊ะ วางอุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องเขียนในทิศทางที่หยิบใช้ได้ง่าย นั่งตัวตรงทำใจว่างๆ เตือนสติตนเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่พยายาม "ทุจริต" ด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนั้นเท่ากับเราหมดภูมิและพยายามฆ่าตัวตายชัดๆ
7. รอกรรมการแจกข้อสอบ หรือถ้าข้อสอบวางคว่ำอยู่บนโต๊ะแล้ว ให้รอคำสั่งเปิดข้อสอบ เมื่อเวลาสัญญานเริ่มทำการสอบดังขึ้น

ขณะทำการสอบ
1. เปิดข้อสอบเมื่อได้รับคำสั่ง ตรวจสอบเวลาทำการสอบรวมกี่ชั่วโมงที่หัวข้อสอบให้แน่ชัด เสร็จแล้วเขียนชื่อ/นามสกุล ชั้น/ห้อง เลขที่ประจำตัว เลขที่สอบให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันให้ฟังกรรมการผู้คุมสอบไปด้วยว่า มีคำสั่งแก้ไขข้อสอบหรือไม่ ถ้ามีให้พลิกข้อสอบ ไปทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงกลับมาเขียนข้อมูลส่วนตัวบนหัวกระดาษคำตอบให้เรียบร้อย
2. พลิกดูข้อสอบทั้งหมดมีกี่ข้อ เป็นปรนัยกี่ข้อ อัตนัยกี่ข้อ คำนวณเวลาที่มี โดยปกติข้อสอบอัตนัย 1 ข้อ จะใช้เวลามากกว่าปรนัยประมาณ 3 เท่า ว่าควรจะใช้เวลาคิดได้ข้อละกี่นาที และเหลือเวลาไว้ตรวจสอบคำตอบทั้งหมดในตอนท้ายประมาณ 10 นาที เพราะผู้ออกข้อสอบจะคำนึงถึงเวลาที่ให้กับความยากง่ายของข้อสอบเสมอ
3. เมื่อได้เวลาเฉลี่ยต่อข้อในการทำข้อสอบแล้ว พลิกข้อสอบดูคร่าวๆ ตั้งแต่ข้อ 1 ไปถึงข้อสุดท้ายอีกครั้ง เพื่อดูว่าข้อสอบข้อใดบ้างง่ายสำหรับเรา ให้ลงมือทำเลยโดยไล่จากข้อสอบแบบปรนัยไปแบบอัตนัย
4. อ่านคำสั่งให้เข้าใจว่าแต่ละส่วนของข้อสอบเขาให้เราตอบอย่างไร ให้วงกลม กากะบาด หรือเติมคำตอบสั้นๆ จับคู่ หรือแสดงวิธีทำ มีผู้เข้าสอบเป็นจำนวนมากต้องเสียใจกับความผิดพลาด เพราะละเลย ไม่อ่านคำสั่งให้ดี เกี่ยวกับการแสดงคำตอบที่ถูกต้องมามากต่อมากแล้ว
5. เริ่มทำข้อสอบที่ยากจากข้อแรกไปตามลำดับ อย่าลืม "การวิเคราะห์โจทย์อย่างมีประสิทธิภาพ" จะช่วยให้วางแผนในการคิดหาคำตอบในแต่ละข้อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
6. ข้อไหนคิดจนหมดเวลาเฉลี่ยแล้วให้ผ่านไปก่อน คิดข้ออื่นต่อไป ถ้ามีเวลาเหลือแล้วค่อยกลับมาทำใหม่ แต่อย่าลืมจะต้องคงเวลาประมาณ 10 นาทีไว้ตอนท้ายสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของการทำข้อสอบเสมอ
7. อย่าเขียนสูตร ทฤษฎีบท นิยาม หรือวิธีคิดใดๆ ไว้บนมือขณะอยู่ในห้องสอบ เพราะจะทำให้เกิดปัญหากับกรรมการคุมสอบได้ง่ายที่สุด ถ้าจำเป็นควรเขียนบนกระดาษทดที่กรรมการคุมสอบแจกมา
8. สำหรับข้อสอบแบบอัตนัย ให้เขียนวิธีทำด้วยลายมือที่อ่านง่าย ชัดเจน ได้รูปแบบของการทำโจทย์คณิตศาสตร์ ในชั้นเรียน (ไม่ใช้รูปแบบจากการเรียนพิเศษ ซึ่งนั่นควรเขียนเก็บไว้เพื่อความเข้าใจของตนเองเท่านั้น) เพราะคำตอบที่อ่านง่ายตั้งใจเขียน แม้จะตกหล่น ขาดเกินไปบ้าง ก็ชนะใจผู้ตรวจข้อสอบในเรื่องการให้คะแนนมามากต่อมากแล้ว
9. ใช้เวลาช่วง 10 นาทีสุดท้าย ตรวจสอบคำตอบที่เราทำมาทั้งหมด ดูว่าเราทำตกหล่น เผลอเลอ ลืมอะไรตรงไหนอีกหรือไม่ มีผู้สอบที่พลาดการได้คะแนน เพราะความเผลอเลอ ลืม ไม่รอบครอบ ทำให้เสียคะแนน อดได้คะแนน หรือไม่ได้รับการคัดเลือก หรือแพ้เขาเพียง 1 คะแนน มามากต่อมากแล้ว (ใช้เวลาในการคิดจนหมดไม่มีเวลาทบทวน) แต่อย่าทบทวนในลักษณะคิดวกไป วนมา แก้ไขหลายครั้งแบบสับสนจนทำให้ข้อถูก กลายเป็นข้อผิด เพราะขาดความมั่นใจในตัวเอง ฉะนั้นทุกข้อที่ทำไปแล้วให้ทบทวนเพียงครั้งเดียว
10. ส่งกระดาษคำตอบให้กรรมการผู้คุมสอบเมื่อตรวจทานเสร็จหรือได้ยินสัญญานหมดเวลาสอบ ขณะส่งกระดาษให้เหลือบดูที่หัวกระดาษคำตอบสักนิดว่าเขียน ชื่อ/นามสกุล เลขที่สอบหรือเลขประจำตัว เรียบร้อยแล้วหรือไม่ เพราะยังแก้ไขได้ทัน แต่ถ้าส่งกระดาษ คำตอบไปแล้ว อย่าไปคว้ากลับมาแก้ไขด้วยเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้รับการทวงถามจากกรรมการผู้คุมสอบ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Les fêtes de la fertilité du mois de février

L’association du milieu du mois de février avec l’amour et la fertilité date de l’antiquité. Dans le calendrier de l’Athènes antique, la période de mi-janvier à mi-février était le mois de Gamélion, consacré au mariage sacré de Zeus et de Héra.
Dans la Rome antique, le jour du 15 février était nommé les lupercales ou festival de Lupercus, le dieu de la fertilité, que l’on représente vêtu de peaux de chèvre. Les prêtres de Lupercus sacrifiaient des chèvres au dieu et, après avoir bu du vin, ils couraient dans les rues de Rome à moitié nus et touchaient les passants en tenant des morceaux de peau de chèvre à la main. Les jeunes femmes s’approchaient volontiers, car être touchée ainsi était censé rendre fertile et faciliter l’accouchement. Cette solennité païenne honorait Junon, déesse romaine des femmes et du mariage, ainsi que Pan, le dieu de la nature.
Au moins trois saints différents sont nommés Valentin, tous trois martyrs[1]. Leur fête a été fixée le 14 février par décret du pape Gelase Ier, aux alentours de 498. C’est à cette date qu’ils sont mentionnés dans les premiers martyrologes[2] :
Valentin de Rome, un prêtre qui a souffert le martyre à Rome dans la seconde moitié du IIIe siècle et qui a été enterré sur la Via Flaminia.
Valentin de Terni, un évêque d’Interamma (le Terni moderne), qui a également souffert le martyre dans la deuxième moitié du IIIe siècle et qui a également été enterré sur la Via Flaminia.
Un martyr en Afrique du Nord dont on ne sait presque rien.
Le rapprochement entre la Saint-Valentin et l’amour courtois n’est mentionné dans aucune histoire ancienne et est considéré par des historiens comme une légende. Il existe une légende selon laquelle la fête de la Saint-Valentin a été créée pour contrecarrer la pratique des lupercales par les jeunes amoureux qui dessinaient leurs noms sur une urne, mais cette pratique n’est citée dans aucune source écrite de l’époque.
Le jour de la Saint-Valentin a longtemps été célébré comme étant la fête des célibataires et non des couples. Le jour de la fête, les jeunes filles célibataires se dispersaient aux alentours de leur village et se cachaient en attendant que les jeunes garçons célibataires les trouvent (définition des lupercales)[réf. souhaitée]. À l’issue de ce cache-cache géant, les couples formés étaient amenés à se marier dans l’année. Ceci permettait de développer la démographie et stimuler l’expansion des villages.Cette pratique laissait libre cours à beaucoup de tricheries de la part de couples officieux ainsi que des hommes qui visaient une jeune fille en particulier et notamment « la plus belle du village », très courtisée

วิธีผ่อนคลายความเครียด

วิธีดังต่อไปนี้จะช่วยคุณผ่อนคลายความเครียด
1. ลดหรือเลิกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โค้ก หรือ ช็อคโกแลต ถ้าคุณทำได้ผลที่ตามมาก็คือความผ่อนคลายทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น มีความกระฉับกระเฉงในการทำงาน และกล้ามเนื้อจะไม่อ่อนล้า
2. บริโภคอาหารให้ถูกสุขลักษณะ พยามยามยกเว้นบริโภคอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (JUNK FOOD) 3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยที่สุดคุณควรออกกำลังกาย
3 ครั้ง ต่อ 1 อาทิตย์ โดยใช้เวลา 30 นาทีต่อครั้งเป็นอย่างต่ำ การออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมได้แก่ การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ เล่นเทนนิส หรือ แบตมินตัน
4. นอนให้เพียงพอ เมื่อคุณพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้มีโอกาสเกิดความเครียดได้สูง ถ้าคุณกำลังเผชิญอยู่กับความเครียด ลองใช้วิธีดังต่อไปนี้ เข้านอนเร็วกว่าปกติ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นถ้าคุณยังรู้สึกอ่อนเพลียให้คุณเข้านอนเร็วกว่าเดิมอีก 30 นาที จากนั้นคุณจะค้นพบเวลานอนที่เหมาะสมกับตัวคุณเองที่จะทำให้คุณไม่อ่อนเพลีย 3 สิ่งที่บ่งบอกว่าคุณนอนหลับเพียงพอ คือ รู้สึกสดชื่นเวลาตื่นนอน รู้สึกกระฉับกระเฉงตลอดวันคุณจะตื่นนอนขึ้นเองในตอนเช้าโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก
5.รู้จักฝึกฝนตนเองให้ผ่อนคลายอยู่เสมอเมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น คุณควรปฏิบัติดังนี้ หาเวลาเดินเล่นหรือนั่งเล่นในสวน ใช้เวลาเล่นกับสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน หรือการนอนหลับฯลฯ และยังมีกิจกรรมที่ยังต้องอาศัยทักษะเฉพาะด้านที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ เช่น การนั่งสมาธิ
6. จริง ๆ แล้ว หนึ่งในวิธีที่จะผ่อนคลายความเครียดได้ดีที่สุดคือ การงดเว้นการทำกิจกรรมต่าง ๆ
7. ไม่ควรตั้งความหวังให้สูงเกินไป คนส่วนใหญ่เกิดความเครียดเนื่องจากการไม่สมหวังฉะนั้น คุณไม่ควรตั้งความหวังไว้สูง ควรตั้งความหวังให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
8. มองโลกในแง่ดี และเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นเรื่องท้าทาย
9. เมื่อเกิดความเครียดพยายามหาที่ปรึกษาพูดคุยที่คุณไว้ใจได้
10. อารมณ์ขันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบำบัดความเครียด